เขียนหัวข้อใหม่
 แสดงความคิดเห็น

เด็กไทยอายุ 11 ปี เรียนหนักที่สุดในโลก

| หัวข้อในหมวดเดียวกัน | bt-50
Neanrider (ตั๋ง)
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
© เนื้อหานี้ ผู้โพสคัดลอกมา ® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
เข้าชม 3269 (1 ต่อวัน) ตอบ 5 ถูกใจ ถูกใจ 0

เด็กไทยอายุ 11 ปี เรียนหนักที่สุดในโลก

http://www.nationmaster.com/graph/edu_hou_of_ins_for_pup_age_11-hours-instruction-pupils-aged-11 เด็กอายุ 11 ปีที่เรียนหนักที่สุดในโลกคือเด็กไทย เฉลี่ยแล้วเรียนถึง 1,200 ชั่วโมงในช่วงอายุนี้  คัดลอกมาให้น้าๆลองอ่านกันดูครับ 

โดยนักวิจัยนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สนับสุนโดยสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ประเทศไทยถูกจัดลำดับที่ มีเวลาเรียนที่เยอะที่สุดในโลก เมื่อรองมาจากประเทศญี่ปุ่น เหตุที่เรียนหนักจึงส่งผลทำให้มี เด็กไทย ต้องออกกลางคันจำนวนปีละ 900.000 คน ต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และมีปัญหา ตั้งครรภ์ ก่อนวัยอันควรจำนวน 1.500.000 คน ใน 2 ปีที่ผ่านมา และยังมีเยาวชนติดโรคเอดส จำนวน 1.358.000 คน ใน 3 ปี และจะเพิ่มขึ้นทุกปี และมีค่าเรียนที่แพง จนมีเด็กไทยหลายคน เลือกทำอาชีพที่ผิดกฎหมายกันมากขึ้น จำนวน 386.250 คน ต่อปี เด็กที่ประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย เช่น ข่ายตัว ค้าขายเสพติด เป็นต้น สาเหตุที่เด็กทำผิด เฉพาะ ต้องการหาเงินเป็นค่าเรียน และ การเรียนพบว่า เด็กไทยมีเวลาเรียนวันละ 8-10 คาบ ต่อวัน แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่อยากเรียนหนังสือเพราะเบื่อหน่วย และที่น่าเป็นห่วงที่สุด เด็กจำนวน ร้อยละ 87 มีเวลา พูดคุยกับ พ่อแม่ วันละ 10 นาที จึงทำให้เด็กไม่มีเวลาได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ

จึงทำให้ พ่อแม่ไม่รู้ชีวิตความเป็นอยู่ในโงเรียนของเด็กเลย หรือ น้อยมาก และเมื่อพบอีกว่า เนื้อหารายวิชาต่างๆ มีแต่เนื้อหาที่มีความรู้ แต่ไม่มีศิลธรรม จึงทำให้เด็กกลายเป็นคน ขาดศิลธรรม ไม่รู้จัก เสียสละ ไม่รู้จัก ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อผู้อื่น และกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในที่สุด เมื่อเด็กจบไป เด็กอาจใช้ความรู้ที่มีมาก่อน นำไปใช้ในทางที่ผิดศิลธรรม ในที่สุดได้เช่นกัน

และมี เด็กไทย ตั้งแต่ 7 -20 ปี ที่ต้องฆ่าตัวตาย ด้วยผลการเรียนตกตํ่า หรือ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ที่น่าตกใจมีจำนวนที่เด็กไทย ที่ฆ่าตัวตาย ปีละ 300.000 คนต่อ อีกปัญหาหนึ่ง คือ จำนวนนักเรียนในห้องเรียนมากเกินไป ตามมาตรฐานการศึกษาจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่ควรเกิน 30 คน

"คำพูดที่สรุปภาพของการศึกษาไทยได้อย่างเจ็บแสบว่าเป็นแบบ "ลู่วิ่งเดี่ยวปลายตีบ" เด็กทั้งประเทศเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่แข่งขันด้านความเป็นเลิศทาง วิชาการ แต่ยิ่งวิ่ง ปลายลู่ยิ่งตีบ เด็กส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ต้องหล่นออกจากลู่ มีน้อยคนเท่านั้นที่วิ่งชนะ สภาพเช่นนี้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ทุกคน ถ้าวันนี้ถ้าระบบการศึกษาไทยยังไม่เปลี่ยน ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้"

ที่มา www.dailynews.co.th

ติดตาม อัพเดตข่าวสาร BT+RG คลิ้กที่นี่

สมาชิกที่เข้าชมล่าสุด

มาดูโลกหุ่นกันเถอะ ได้ทั้งขำ และความรู้  

1
pp
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 2 ถูกใจ ถูกใจ 3
พ่อแม่ส่วนใหญ่ มีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง

จึงโยนทุกอย่างไว้ที่โรงเรียน ตนมีหน้าที่ไปรับ-ส่ง

ครูทั่วประเทศตอนนี้หนี้สินล้นพ้นตัว จึงต้องดิ้นรนหารายได้พอเศษ

เวลาดูแลลูกศิษย์น้อยลง เรียนได้แค่ไหนก็แค่นั้น

(ถึงแม้จะเห็นว่านั่งเรียนอยู่เขาเริ่มจะงอกแล้ว ก็ให้สอบตกไม่ได้

ถือว่าครูสอนไม่มีประสิทธิภาพ)

เด็กๆเลยเรียนรู้กันเองกับเพื่อนๆ

ลองเรียน ลองรู้กันไป อ่านหนังสือมั่ง ชวนกันเล่นเกมส์มั่ง ลองยามั่ง ลองอย่างอื่นมั่ง มั่วๆกันไป

ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้ปัญหาแต่ไม่สามารถเข้ามาแก้ได้ คนนั่งยอดหอคอยมีอำนาจแต่ไม่รู้ปัญหา

ดูง่ายๆ สอบ o-net, a-net ไม่ได้ความ แทนที่จะเปลี่ยนวิธี ยังดันทุรังใช้มาตั้งนานสองนาน

TDCIman (กริด)
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
ถูกใจ ถูกใจ 0
การจัดการศึกษาของเรามันแย่ขนาดนั้นเหรอครับครู
คุณ โอ (O)
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
ถูกใจ ถูกใจ 0
จริงเลยครับ ผมเองไม่ได้เป็นครูแต่ก็เห็นแบบนี้จริงๆ เฮ่อ...
jookkung (จุก)
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
ผมว่าอย่าโทษครูอย่างเดียวเลยครับ เราต้องหันมามองที่ตัวเด็กด้วย ผมคนหนึ่งครับที่ประกอบอาชีพครู เจอเด็กมาหลายแบบ เด็กดีตั้งใจเรียน เด็กที่สอนยังไงก็ไม่เอา เพราะฉนั้นเราควรหันมามองที่หลักสูตรมากกว่า อีกอย่างเด็กถ้าจะดี ดีจากเนื้อแท้ของตัวเอง เด็กส่วนใหญ่โทษแต่สิ่งแวดล้อมไม่ดี ไม่ได้หันมามองตัวเองเลย
Tommy (ทอมมี่)
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 2 ถูกใจ ถูกใจ 0
ผมว่าเรียนเยอะ บางทีไม่ได้ทำให้มีความรู้เยอะ เพราะมันลืมออกหมด

แต่ถ้าได้ทำ ได้เวิร์คช๊อพ ความรู้มันจะฝังในหัวเราแน่นกว่า

ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยเลยที่จะต้องเรียนเยอะๆ เพราะโลกเรามีอินเตอร์เน็ตแล้ว ความรู้เราสามารถหาเองก็ได้

ครูเอาไว้แนะแนวทางว่าเราจะศึกษาเรื่องนั้นๆได้อย่างไร ให้คำปรึกษายามเกิดปัญหาที่ทำให้ไปต่อไม่ได้ และต้องให้คำปรึกษาสิ่งที่ไม่มีในตำราได้

สิ่งที่ไม่มีในตำรานี่แหละที่ผมว่าควรเป็นหน้าที่ของครู

เช่น สมมุติเรียนเรื่อง การทำส้มตำ

ในตำราบอกว่า ต้องใช้มะละกอมาตำ

แต่ผมก็อยากถามนอกตำรากับครูว่า ครูครับ ถ้าเราหามะละกอไม่ได้ ใช้มันแกวมาฝานตำแทนมะละกอได้มั้ย

ครูอาจจะไม่เคยใช้มันแกวมาทำส้มตำ แต่ด้วยประสพการณ์ของครู ครูรู้ว่ามันแกวมันไม่ได้มีรสเปรี้ยวหวาน และเซลล์ของเนื้อมันแกวมันบาง ตำแล้วมันจะแบนและแตกหายไปเลย ไม่คงรูปเป็นเส้นเหมือนมะละกอ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถนำมาตำแทนมะละกอได้ แต่้ถ้าใช้มะม่วงอาจจะแทนได้

แต่ถ้าครูไม่มีประสพการณ์ อาจจะไม่รู้จักมันแกว (สมมุติว่ามันแกวเป็นผลไม้ที่คนไม่ค่อยรู้จัก) ครูตอบไม่ได้ ครูก็จะบอกว่า ตำราเขาไม่ได้บอก ดังนั้นทำไม่ได้ ไม่ต้องรู้ เพราะไม่ได้คะแนน

ซึ่งถ้าเรากำหนดบทบาทของครูได้ชัดเจน ก็จะได้ทำให้นักเรียนใช้เวลาในห้องเรียนน้อยลง และได้คิดเองมากขึ้น

คิดมากๆ มันก็จำได้แน่นขึ้น

แต่แนวคิดนี้คงต้องใช้กับเด็กที่โตพอที่จะค้นคว้าเองได้แล้ว

TDCIman (กริด)
# โพสเมื่อ 14 ก.พ. 2555
ถูกใจ ถูกใจ 0
ครับน้าทอมมี่ จงวางแอมเวย์ หรือขายตรงอื่นๆไว้ก่อน อย่ามองว่าครูเป็นแค่อาชีพเสริม "อย่าเป็นเรือจ้างที่ผุเต็มที" ขอเถอะครับ
Neanrider (ตั๋ง)
# โพสเมื่อ 15 ก.พ. 2555
ถูกใจ ถูกใจ 0
น้ากริดเคยฟังเพลงของปาน ธนพรไหม เพลงรางวัลแก่ครู ลองหาใน youtube ดู เพราะมากเลย ฟังแล้วรักคุณครูขึ้นจับจิตจับใจ
CYBER computer ตรัง (หนึ่ง)
# โพสเมื่อ 29 ก.พ. 2555
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
น้าจุกจัดหนักครับ อิอิ
1

แสดงความคิดเห็น



แสดงความคิดเห็นเหรอ
ลงชื่อเข้าใช้หน่อยจ้า ด้วย Facebook ก็ได้ ง่ายๆเอง





Home