เขียนหัวข้อใหม่
 แสดงความคิดเห็น

เช กูวาร่า

| หัวข้อในหมวดเดียวกัน | bt-50
peter p
# โพสเมื่อ 22 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
เข้าชม 4027 (1 ต่อวัน) ตอบ 7 ถูกใจ ถูกใจ 0

เช กูวาร่า

  คลับ BT-50-Ranger-เช กูวาร่า-1

Ernesto Che Guevara (เช กูวารา) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1928 (ข้อมูลหลายแห่งบอกว่า เขาเกิดในเดือนมิถุนายน แต่จริง ๆ แล้วมารดาของเขา ต้องการปกปิดว่าเธอตั้งครรภ์ก่อนแต่งราว สามเดือน จึงให้แพทย์ลงในใบเกิดว่าคลอดเดือนมิถุนายน เพราะการคลอดก่อนกำหนดเจ็ดเดือน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้) ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆ ของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา ครอบครับของเขาเป็นชนชั้นกลาง เขาเป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน และ Ernesto เป็นพี่ชายคนโต บิดาเป็นนักธุรกิจที่มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่เสมอ แต่ก็สามารถประคับประคองครอบครัวให้มีความสุขตลอดมา

ในวัยเด็ก Ernesto เกิดและโตอยู่ท่ามกลางเรื่องราวความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาตลอด สายเลือดแห่งความเป็นนักสังคม และการมีบุคลิกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนยอมรับภาวะการเป็นผู้นำของเขา ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดามารดานั่นเอง

หนูน้อย Ernesto เริ่มเป็น โรคหอบหืด (Asthma) ตอนอายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น และโรคนี้ก็กลายเป็นโรคประจำตัว ของเขาไปตลอดชีวิต โรคหอบหืด เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของ Ernesto ในเวลาต่อมา เนื่องจาก เมื่อโตขึ้น เขาตั้งใจว่าจะเรียนวิชาแพทย์เพื่อหาทางรักษามันให้หายให้ได้ปี 1947 Ernesto เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย Universidad Nacional de Cordoba โดยเน้นวิชาการด้านผิวหนัง (Lepraleiden (โรคเรื้อน)) ครอบครัวของเขาตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง Alta Gracia ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Cordoba เมืองที่เขาเรียนอยู่ ทั้งนี้เพราะที่เมืองนี้ มีอากาศที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพของ Ernesto

ใน ช่วงของการเรียนมหาวิทยาลัย Ernesto พยายามเล่นกีฬาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลัคบี้ เบสบอล ปีนเขา และอื่น ๆ โดยหวังจะเอาชนะโรคหอบหืด แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ครั้งหนึ่งในช่วงปี 1951 เขาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวระยะยาวร่วมกับเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ไปทั่วอเมริกาใต้ ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์

 

บันทึก การเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่อปี 2005 คือ "The Motorcycle Diaries" การเดินทางครั้งนั้น นอกจากทำให้เขาโด่งดังไปทั่วแล้ว ยังเป็นการเดินทางที่มีผลต่อแนวคิดครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นแรงผลักดันให้เขากลายเป็นนักปฏิวัติ ผู้ตั้งใจอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเพื่อคนชั้นล่างของสังคม ในเวลาต่อมาด้วย

ในช่วงที่ เดินทางผ่านประเทศโบลิเวีย, ชิลี, เวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เปรู ทำให้ Ernesto ได้เห็นภาพความยากจน ของชาวบ้าน ที่โดนกดขี่ขมเหงจากบรรดานักการเมืองและนักธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่กำลังไหลบ่าเข้าท่วมประเทศเหล่านี้ Ernesto เริ่มหันมาสนใจการเมืองในอเมริกาใต้อย่างจริงจัง และ แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อเขาอย่างยิ่ง ก็คือ มาร์กซิสต์ (Marxismus)

อย่าง ไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว แนวคิดมาร์กซิสต์นี้ Ernesto เคยศึกษามาก่อนหน้าที่เขาจะท่องเที่ยวแล้ว ด้วยเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ รวมทั้งสนใจศึกษาปรัชญา การเมืองการปกครองมาแต่สมัยเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองการปกครองของประเทศอาร์เจนตินา บ้านเกิดของเขาเอง ภายใต้การนำของผู้นำที่เขาเกลียด Juan Domingo Peron เพราะคอยกดขี่ประชาชน อยู่เเสมอ

ภาพการถูกกดขี่ข่มเหงของประชาชนในอเมริกาใต้ที่สามารถพบเห็น ได้โดยทั่วไป กลายเป็นสิ่งบ่มเพาะจิตสำนึก จนทำให้ Ernesto ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ว่า เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปลดปล่อยสภาพแบบนั้น ให้กับประชาชนชาวอเมริกาใต้ และเขาเริ่มคิดได้ว่า การทำงานเป็นแพทย์แต่เพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือผลักดันให้เกิดภาพที่เขาอยากเห็นเหล่านั้นได้

ดังนั้น ปี 1953 หลังเรียนจบที่คณะแพทย์ ในขณะที่ Granado เพื่อเก่าที่เคยเดินทางด้วยกัน ย้ายไปทำงานที่เวเนซูเอล่า Ernesto กลับเดินทางไปประเทศกัวเตมาลา เพื่อขอเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร ที่ต่อต้าน Jacobo Arbenz Guzm?n ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และที่นี่เองที่เขาพบรักกับ Hilda Gadea Acosta หญิงชาวเปรูที่ลี้ภัยการเมือง

แม้จะเป็นเพียงแพทย์ในกลุ่ม แต่ด้วยประสบการณ์และความทรงจำในกัวเตมาลา ผลักดันให้ Ernesto เดินทางต่อไปยังประเทศเม็กซิโก และได้แต่งงานกับ Hilda ที่นั่น และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1956 เขาก็ได้ลูกสาวคนแรกชื่อ Hildita

เม็กซิโก คือสถานที่สำคัญในการพลิกชีวิตของเขาอีกครั้ง เมื่อ Ernesto ได้พบกับ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Casto) นักปฎิวัติหนุ่มชาวคิวบา (ผู้นำประเทศคิวบาคนปัจจุบัน) เป็นครั้งแรกในช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 1955 ซึ่งในขณะนั้น ฟิเดล คาสโตร ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม Moncadistas เดินทางไปเม็กซิโกเพื่อลี้ภัยทางการเมือง ภายหลังที่เขาพึ่งพ้นโทษ ในข้อหาหัวหน้ากบฎจากปฏิบัติการ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1953 เพื่อโค่นล้มอำนาจประธานาธิบดีบาติสตา รัฐบาลผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และกดขี่ชาวคิวบาอย่างแสนสาหัส

คาสโตร เริ่ม รวบรวมสมัครพรรคพวกใหม่ รวมทั้งแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธกับเพื่อนที่ลี้ภัยทางการเมืองชาวคิวบา ที่เคยร่วมปฎิบัติการวันที่ 26 กรกฎาคม (M-26-7) มาด้วยกัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับไปปฏิวัติ นำประชาธิปไตยสู่ประเทศคิวบาอีกครั้ง โดยคาสโตรจะเน้นการรบแบบสงครามกองโจรเป็นหลัก Ernesto มีโอกาสได้เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย โดยในการร่วมกับกลุ่มครั้งแรก Ernesto ทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า Che (ภาษาอาร์เจนตินา เป็นคำเรียกเพื่อนสนิท หรือเพื่อนตาย หรือ อาจใช้เป็นคำทักทายกัน ทำนองเดียวกับ Hey ก็ได้) โดยเหตุที่ Ernesto ได้รับชื่อ Che นี้ ก็เพราะตัวเขาเอง มักทักทายเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า Hey เสมอ ๆ

วัน ที่ 25 พฤศจิกายน 1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนตร์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโกมุ่งหน้าสู่ประเทศคิวบา แต่เนื่องจากวันเดินทางเป็นคืนเดือนมืด และต้องแรมเรืออยู่ในทะเลราวเจ็ดคืน จึงขึ้นฝั่งที่คิวบาได้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1956 การเดินทางครั้งนั้นคณะปฏิวัติต้องประสบกับคลื่นลมแรง จนลูกเรือหลายคนเมาคลื่น รวมทั้งทำให้ขึ้นฝั่งผิดเป้าหมายที่วางแผนกันไว้ เป็นผลทำให้กองกำลังปฏิวัติถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตา จนแตกพ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra เหลือกำลังพลเพียง 12 คน เท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ Che Guevara

และด้วยวิธีปฏิบัติการรบ แบบกองโจรของคาสโตรนั้นเอง ที่ทำให้ Che ต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเขาอย่างรวดเร็ว จากการทำหน้าที่เป็นเพียงหน่วยแพทย์ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นนักรบที่ต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู่โดยตรง และด้วยการปฏิบัติการที่เด็ดขาดแน่วแน่ รวมทั้งไหวพริบปฏิพานที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้ Che กลายเป็นทหารที่มีความสำคัญต่อกลุ่มในไม่ช้า

หลังจากหน้าที่ของกอง กำลังแรก (Comandante en Jefe) ซึ่งเป็นกองเริ่มต้นภายใต้การบังคับบัญชาของ ฟิเดล คาสโตร สิ้นสุดลงในราวปลายปี 1956 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1957 Che ก็ได้ยกฐานะขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการกองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) ซึ่งเป็นหนึ่งจากที่มีทั้งหมด 9 ช่วงในการปฏิวัติครั้งนั้น นอกจากนั้นเขายังได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้บัญชาการของกลุ่ม II Kolonne อีกด้วย

นักรบกองโจร คือ คนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรมาน และความยากลำบาก และมีความสำนึกทางการเมืองสูงด้วย

Che (Guevara) ผู้เชื่อมั่นในวิธีการต่อสู้ด้วยสงครามกองโจร

หลัง จากกลุ่มของเขา ต่อสู้แบบกองโจรได้ราวสองปี แม้จะต้องแตกพ่ายในช่วงแรก แต่ในที่สุดวันที่ 1 มกราคม 1959 ที่เมือง Santa Clara (ซานตาครูส) กองกำลังก็สามารถเข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีบาติสตาได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่่ประธานาธิบดีบาติสตา สามารถ ลอบหนีออกจากคิวบาไปได้ทัน

ก่อน หน้าที่จะยึดอำนาจ ได้สำเร็จ กลุ่มของคาสโตมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่ม นายทุนอเมริกัน ผู้คาดหวังว่าจะมีโอกาสได้เข้ามากอบโกยในคิวบา โดยอาศัยชัยชนะของคาสโตร แต่คาสโตเองก็ขอรับการ สนับสนุนการปฏิวัติจากสหภาพโซเวียตด้วยในเวลาเดียวกัน และหลังจากการปฎิวัติสำเร็จลง คาสโตร เลือกที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกา ซึ่ง นั่นหมายถึง เขาเลือกอยู่ข้างค่ายคอมมิวนิสต์

Che ได้รับสัญชาติคิวบา ในปี 1959 ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณเขา ในฐานะเป็นผู้ร่วมโค่นล้มบาติสตาลงได้ และนอกจาก ฟิเดล คาสโตร, หลุย์ คาสโตร, คามิโล คีนฟูโก แล้ว Che ก็มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลใหม่แห่งคิวบาด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันดำเนินการปฏิรูปประเทศในส่วนสำคัญ ๆ อย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลสังคมนิยมชุดนี้ แนวทางคอมมิวนิสต์ยังคงมีอิทธิพลต่อแนวคิดของ Che เสมอ และดูเหมือนจะเข้มแข็งมากกว่าแนวปฏิบัตินิยม และการเมืองนิยมของคาสโตร

จุด สูงสุดทางตำแหน่งทางการเมืองของ Che คือ ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และเป็นผู้อำนวยการ ธนาคารแห่งชาติของคิวบา ราวต้นปี 1960 รวมทั้งช่วงสั้น ๆ ขอ

ติดตาม อัพเดตข่าวสาร BT+RG คลิ้กที่นี่

สมาชิกที่เข้าชมล่าสุด

มาดูโลกหุ่นกันเถอะ ได้ทั้งขำ และความรู้  

1
oil_narong
# โพสเมื่อ 23 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
ยาวจัง

โชคดีที่ดูหนังมาแล้ว

น่าชื่นชมมากครับ

BT HERO
# โพสเมื่อ 23 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
ผู้เสียสละจริงๆ ไม่ได้ต้องการอำนาจ ตำแหน่งเงินทอง แค่ต้องการพัฒนาสังคม
jat
# โพสเมื่อ 23 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
นักการเมืองบ้านเราน่าจะเอาอย่างบ้างนะ ไม่ใช่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หลงใหลในอำนาจ
JoeBT3775
# โพสเมื่อ 24 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
แล้วทำไมเอารูปเค้ามาเป็นบังโคลนสิบล้อหล่ะ คนดีนะนี่
เด็กหลังเขา
# โพสเมื่อ 24 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
เชยังไม่ตาย เขาอยู่ท้ายรถบรรทุก

นับถือครับนักปฏิวัติชนชั้น ศึกษาประวัติมาแล้วครับสมัยเรียนรัฐศาสตร์อยู่ลูกพ่อขุน

เซาะ
# โพสเมื่อ 24 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
เช...ยั่วยุเก่ง  รบเก่ง  แต่ปกครองไม่เก่ง...พวกนี้เอามันส์เข้าว่า 
yoyocup
# โพสเมื่อ 25 ก.ค. 2553
® ตอบได้เฉพาะสมาชิก
ตอบ ตอบ 0 ถูกใจ ถูกใจ 0
ถ้ามีนักการเมืองที่เป็นแบบนี้จริงๆ คงอยู่ได้ไม่นานหรอกคับ คงมีM79ไปหาแน่นอนคับ......เฮ้อออออ....การเมือง
1

แสดงความคิดเห็น



แสดงความคิดเห็นเหรอ
ลงชื่อเข้าใช้หน่อยจ้า ด้วย Facebook ก็ได้ ง่ายๆเอง





Home